• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#2721



สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงทีมชาติไทย โชว์ฟอร์มปราบแชมป์ยูธโอลิมปิกจากสหราชอาณาจักร ก่อนการันตีมีเหรียญทองแดงคล้องคอเรียบร้อยในศึกโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น เมื่อันที่ 3 สิงหาคม 2564

ศึกมวยสากลสมัครเล่น โตเกียว 2020 ที่สนามเรียวโกคุ โกกุกิกัง ประเทศญี่ปุ่น รุ่นน้ำหนัก 60 กก.หญิง สุดาพร สีสอนดี ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของทัพกำปั้นไทย เดินขึ้นสังเวียนรอบ 8 คนสุดท้าย เพื่อลุ้นชิงเหรียญรางวัล

ไฟต์สำคัญนี้ สุดาพร เผชิญหน้า แคโรไลน์ ดูบัวส์ เจ้าของแชมป์ ยูธ โอลิมปิก จากสหราชอาณาจักร ยกแรก ต่างฝ่ายต่างระแวดระวัง แต่ สุดาพร ก็หาจังหวะส่งหมัดเข้าเป้าเก็บคะแนนได้ดี จนชนะไปก่อนยกแรก 3-2 เสียง

ยกสอง ดูบัวส์ แก้เกมหาจังหวะสวนหมัดใส่นักชกไทยได้ดีจนกรรมการให้นักชกจากจีบีชนะยกนี้ 3-2 เสียง สุดท้ายยกตัดสิน ดูบัวส์ เดินลุยเหวี่ยงหมัดเพื่อตัดสินแต่ "เจ้าแต้ว" รอหาจังหวะแล้วสวนหมัดใส่แบบเยือกเย็น สุดท้ายกรรมการตัดสินให้นักชกไทย ชนะ 3-2 เสียง

ผลงานไฟต์นี้ทำให้ สุดาพร เข้าไปเจอกับ เคลลี แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ และแน่นอนที่สุดคือมีเหรียญทองแดง การันตีไว้ให้อุ่นใจเป็นที่เรียบร้อย
#2723


กสศ. เดินหน้า Reskill – Upskill ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ผ่านทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเอง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคประชาสังคม) ในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

กล่าวตอนหนึ่งในเวทีเสวนาออนไลน์ เรียนให้รู้...อยู่ให้รอด ภายใต้วิกฤตโควิด 19 บทเรียนการทำงานทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 ในหัวข้อ "ทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน  ทางรอด ทางเลือกในยุค New Normal" เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า โครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 หรือ ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ภายใต้การสนับสนุนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เริ่มดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2562  กสศ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือประชากรวัยแรงงานที่เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยใช้ชุมชนเป็นฐานสร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเองให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ เพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) เสริมทักษะใหม่ในบริบทใหม่ (Upskill) พัฒนาทักษะอาชีพรายบุคคล โดยใช้ทุนชุมชนในการพัฒนาอาชีพ

"เรากำลังเปิดพื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างนิเวศแห่งการเรียนรู้ใหม่ การเรียนรู้รูปแบบนี้เป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ ที่น่าจะเป็นคำตอบให้กับสังคมไทยได้ และที่สำคัญกำลังรอให้คนนำไปขยายผลต่อ"ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว

ดร.สมคิด แก้วทิพย์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 กล่าวว่า องค์ประกอบที่สำคัญของโครงการฯ นี้ คือ "ระบบการจัดการร่วม" ที่ กสศ.มี "อนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการฯ" และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีการทำงานร่วมกับ "พี่เลี้ยง" ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศทำหน้าที่ กระตุ้น หนุนเสริมองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แก่ "หน่วยพัฒนาอาชีพ" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข้าไปทำงานและร่วมเรียนรู้กับ "ผู้เข้าร่วมโครงการฯ" ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการฯ องค์ประกอบเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการร่วมเชิงบูรณาการบนฐานพื้นที่ ทำงานเชื่อมประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีจุดร่วมคือการนำปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ ชี้ว่า เรากำลังสร้าง "ต้นแบบ" การพัฒนาทักษะอาชีพบนฐานทุนชุมชนในมิติใหม่ ที่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ด้วยการเข้าไปดูว่าเขาต้องการแก้ปัญหาอะไร ชุมชนมีต้นทุนอะไร และสุดท้ายเรานำข้อมูลมาวิเคราะห์ออกแบบเป็นหลักสูตรเฉพาะร่วมกับชุมชนที่เหมาะสม เพื่อคลี่คลายปัญหาของชุมชน

ตลอดการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกลุ่มแรงงานนอกระบบ แรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ จำนวน 14,414 คน จาก 194  โครงการ ใน 51 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ  เกิดหลักสูตรการยกระดับการประกอบอาชีพที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นและตลาดแรงงาน นำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการและแรงงานที่มีฝีมือในชุมชน เกิดเครือข่ายคนทำงานรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนา อีกทั้งยังเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ สถาบันการศึกษาในการพัฒนากลไกเสริม เครื่องมือ และชุดความรู้ร่วมกับหน่วยพัฒนาอาชีพ และเกิดเป็นนวัตกรรมการพัฒนาอาชีพในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพัฒนาส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ การรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน และเกิดผลิตภัณฑ์ งานบริการที่ถูกยกระดับให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีออนไลน์

"การใช้ชุมชนเป็นฐานเป็นต้นแบบหนึ่งของ กสศ. ถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานเชิงพื้นที่ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน โดย กสศ.เข้าไปหนุนเสริมทักษะความรู้และงบประมาณบางส่วน ทำให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นความสุขมากขึ้น ผมคิดว่ารูปแบบการทำงานแบบบนี้น่าจะเป็นทางเลือกทางรอดของประเทศได้"


ขณะที่ ดร.สมคิด กล่าวเสริมว่า ผลจากการทำโครงการ 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ เห็นระบบของการดึงโครงสร้างความรู้ มาร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นระบบการศึกษาใหม่ในการพัฒนาอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างทักษะและองค์ความรู้ที่จะนำมาประกอบอาชีพให้เกิดรายได้แล้ว ความรู้ที่เกิดขึ้นยังเป็นเกราะกำบังให้คนในชุมชนเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และที่สำคัญคือ เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างคนในชุมชน คือ "หาได้" และ "ให้ได้" สร้างสังคมแห่งการดูแลกันและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

ดร. สมคิด กล่าวสรุปว่า การสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการยกระดับทักษะความรู้ให้กลุ่มแรงงานสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ให้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในชุมชน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความเลื่อมล้ำในสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานได้อย่างแท้จริง
#2724


ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรง ทำให้มีความกังวลว่าโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน อาจจะต้องเลื่อนเปิดให้บริการจากวันที่ 2 ส.ค. 2564 ออกไปก่อนหรือไม่ ซึ่ง "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รีบยืนยันว่ารถไฟสายสีแดงปักหมุดเปิดให้บริการ (Soft Opening) วันที่ 2 ส.ค. 2564 แน่นอน...ไม่เลื่อน โดยตามกำหนดการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยจะให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเป็นเวลา 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค. 2564)

สำหรับรถไฟสายสีแดงถือเป็นตำนานโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง และเป็นรถไฟฟ้าสายที่ประชาชนคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลจับตา และรอคอยสายหนึ่ง

โดยช่วงบางซื่อ-รังสิต หากนับจากวันที่เริ่มต้นสัญญาก่อสร้างงานโยธาเมื่อ 10 ก.พ. 2556 จนถึง 2 ส.ค. 2564 ที่รถไฟสายสีแดงขบวนแรกจะเปิดหวูดให้ประชาชนได้ทดลองนั่งฟรี ใช้ระยะเวลากว่า 8 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาโครงการมีปัญหาอุปสรรคมากมาย จนทำให้ต้องมีการขยายระยะเวลาสัญญาก่อสร้าง และปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างมาแล้ว 5 ครั้ง จากกรอบเริ่มต้น 52,220 ล้านบาท เป็น 93,950 ล้านบาท ซึ่งยังเหลือครั้งล่าสุดที่จะเสนอขอปรับอีก 10,345 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าก่อสร้างเพิ่มเติม (Variation Order : VO) โดยจะทำให้กรอบวงเงินโครงการสายสีแดงรวมช่วงบางซื่อ-รังสิต เพิ่มเป็น 104,295 ล้านบาท


"ศักดิ์สยาม" ปักหมุดเปิดให้บริการ จี้ รฟท.เร่งแก้ปัญหาติดขัดทุกมิติ

ก่อนหน้านี้ รฟท.กำหนดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงอย่างไม่เป็นทางการในเดือน ม.ค. 2564 "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" ประกาศนโยบายปักหมุดเปิดให้บริการรถไฟสายสีแดงภายในปี 2564 หลังจากตรวจเช็กการก่อสร้างงานโยธา 2 สัญญา และความก้าวหน้าสัญญา 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล วางไทม์ไลน์ ปิดจ็อบ และเมื่อรถไฟฟ้า 2 ขบวนแรกเดินทางมาถึง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2562 และเข้าประจำการ ณ โรงซ่อมบำรุงสถานีกลางบางซื่อ ในเดือนพ.ย. 2562 รฟท.เดินหน้าเข้าสู่โหมดการทดสอบระบบตามขั้นตอน

นอกจากนี้ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ยังได้มีการติดตามการดำเนินการในทุกๆ ด้านอย่างใกล้ชิด โดยตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อจำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย

1. ด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง 2. ด้านสถานี 3. ด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร 4. ด้านการสื่อสารสาธารณะ 5. ด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub)

นอกจากนี้ ยังมีคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) และพื้นที่ช่วงสถานีกลางบางซื่อ และคณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาดำเนินการขอพระราชทานชื่อโครงการ 2 สายทาง สายทางละ 3 ชื่อ ซึ่ง รฟท.ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานราชบัณฑิตยสภาและกรมศิลปากรเพื่อพิจารณาชื่อที่จะขอพระราชทาน

โครงการสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ เฉลิมมหามงคล อาทรวัฒนวิถี และสวัสดิลีลาศ

โครงการสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เสนอ 3 ชื่อ ได้แก่ ฉลองมหานคร สิทธิรังสีรัถยา และ ประพาสภิรมย์



ช่วงทดลองให้บริการฟรี วิ่งความถี่ 15-30 นาที

รถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ, สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี, สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 นาที

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา รฟท.โดยบริษัท รฟฟท. จำกัด ได้มีการทดลองระบบการเดินรถ มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุต่างๆ ตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยวิศวกรที่ปรึกษาอิสระ (Independent Certification Engineer : ICE) ของโครงการได้เข้าตรวจสอบและออกใบรับรองให้แล้ว พร้อมที่จะเปิดให้ประชาชนร่วมใช้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสารตามแผนงาน

ในช่วงทดลองตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.นี้จะกำหนดความถี่ในการให้บริการเวลาเร่งด่วน 15 นาที นอกเวลาเร่งด่วน 30 นาที วิ่งเฉลี่ย 78 เที่ยว/วัน ใช้รถประมาณ 12 ขบวน โดยสายบางซื่อ-รังสิตจะใช้รถแบบ 6 ตู้/ขบวน จำนวน 8 ขบวน สายบางซื่อ-ตลิ่งชันใช้รถแบบ 4 ตู้/ขบวน จำนวน 4 ขบวน

ตารางการเดินรถสายบางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากรังสิต เวลา 06.00 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากรังสิต เวลา 19.30 น.

สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกออกจากบางซื่อ เวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกออกจากตลิ่งชัน เวลา 06.06 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. เที่ยวสุดท้ายออกจากตลิ่งชัน เวลา 19.36 น.



ระบบฟีดเดอร์เชื่อมเข้าสถานียังไม่สมบูรณ์

สำหรับการเดินทางเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อและสถานีรายทางนั้น ต้องยอมรับว่าการจัดระบบฟีดเดอร์และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ 100% ซึ่งคาดว่าก่อนจะถึงกำหนดเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์เดือน พ.ย.จะมีความพร้อมมากขึ้น

โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดรถเมล์ 4 สาย ได้แก่ สาย 49 สาย 67 สาย 79 และ สาย 522 ปรับปรุงเส้นทางเดินรถให้เชื่อมเข้าสถานีสายสีแดง

ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก่อสร้างทางเดินเชื่อมต่อกับบริเวณทางเดินชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 2 จุด คือ บริเวณทางเดินผู้โดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ และทางเดินเชื่อมต่อบริเวณชั้นจำหน่ายบัตรโดยสารของสถานีรถไฟฟ้า MRT บางซื่อ

"ขณะที่สถานีกลางบางซื่อนั้นมีลานจอดรถใต้ดินรองรับได้ถึง 1,600 คัน คาดว่าจะเพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสารในช่วงแรกที่คาดว่ายังมีไม่มากนัก"



เร่งปรับปรุงถนนเชื่อมเข้าสถานีรังสิต เกตเวย์ด้านเหนือ

สำหรับสถานีรังสิต ซึ่งเป็นเกตเวย์จุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายจุดเชื่อมต่อผู้โดยสารเสร็จแล้ว คือ ปรับปรุงถนนหน้าสถานี (ฝั่งตะวันตก) รฟท.ดำเนินการ และการปรับปรุงทางเข้าสถานีจาก ทล.346 (ทิศทางจากรังสิต) วงเงิน 4 แสนบาท (กรมทางหลวง ดำเนินการ)

ส่วนที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมอีกคือ ก่อสร้างสะพานกลับรถด้านทิศใต้ วงเงินรวม 206 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 12 เดือน คาดแล้วเสร็จเดือน มี.ค. 2566, ปรับปรุงจุดกลับรถใต้สะพานข้ามทางรถไฟ ทางเท้า และระบบระบายน้ำ (ทิศทางจากปทุมธานี) วงเงิน 4.6 ล้านบาท ดำเนินการช่วงปี 2565 โดยกรมทางหลวง (ทล.)

ในส่วนของการจ้างบริการเพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดใช้สถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี ประกอบด้วย 1. จ้างงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และจราจร 2. จ้างบริการทำความสะอาดอาคารและบริเวณสถานี 3. งานบริหารจัดการงานอาคารและสถานที่บริเวณสถานี 4. จ้างบริการรักษาความปลอดภัยและทำความสะอาดภายในอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดง (CT Depot) และทำความสะอาดขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง 5. จ้างติดตั้งระบบจัดการจราจรภายในบริเวณลานจอดรถสถานีกลางบางซื่อ และจัดเก็บค่าบริการจอดรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหาตามขั้นตอน

ด้านการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเพื่อคัดเลือกเอกชนดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อและสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง 12 สถานี คาดว่าจะเสนอบอร์ด รฟท.พิจารณาอนุมัติร่างทีโออาร์ในเดือน ส.ค.นี้ คาดว่าจะได้เซ็นสัญญาและเริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 64 โดยจะแบ่งเป็นเฟสเพื่อเปิดให้บริการได้รวดเร็วขึ้น

โดยมี 4 ฉบับ คือ 1. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

2. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ

3. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี

4. ประกาศเชิญชวน เสนอผลตอบแทนการเช่าสิทธิติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณสถานีรถไฟฟ้า 12 สถานี



โจทย์สุดหิน...ห้ามขาดทุน

การให้บริการโครงการรถไฟฟ้ารายได้มาจาก 2 ส่วน คือ จากค่าโดยสาร และจากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งรายได้จากค่าโดยสารจะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณผู้โดยสาร แต่... สถานการณ์ในปัจจุบัน ปริมาณการเดินทางลดลงไปอย่างมาก โดยล่าสุดพบว่าผู้โดยสารระบบรางทั้งระบบเหลือเพียง 98,453 คน/วันเท่านั้น หรือลดลงถึง 91.82% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผู้โดยสารช่วงปี 2562 ก่อนที่จะเกิดโรคโควิด-19 ที่ระบบรางมีผู้โดยสารรวมถึงกว่า 1.2 ล้านคน/วัน

ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารและอัตราค่าโดยสารจะผันแปรโดยตรงกับรายได้ ซึ่งรถไฟสายสีแดงมี 13 สถานี ระยะทาง 41.56 กม. กำหนดอัตราเริ่มต้นที่ 12 บาท สูงสุด 42 เฉลี่ย 1.01 บาท/กม.

ทั้งนี้ ตามผลการศึกษาเดิม คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในปีแรกที่เปิดให้บริการเฉลี่ยที่ 86,620 คน/วัน โดยคาดว่าจะมีรายได้ในปีแรกรวมประมาณ 1,153 ล้านบาท โดยมาจากค่าโดยสารราว 673 ล้านบาท และมีรายได้เชิงพาณิชย์ 480 ล้านบาท

ส่วนรายจ่ายรวมอยู่ที่ 1,267 ล้านบาท หลักๆ จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรประมาณ 376.6 ล้านบาท ค่าไฟฟ้าประมาณ 327 ล้านบาท ค่าประปา 7.5 ล้านบา ค่ารักษาความปลอดภัยและรักษาความสะอาดอีกราว 284.1 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา 90.3 ล้านบาท

ภายใต้สมมติฐานรายรับ รายจ่ายนี้ เท่ากับในปีแรกสายสีแดงจะยังขาดทุนประมาณ 113 ล้านบาท โดยยังไม่หักค่าดอกเบี้ย เงินกู้งานไฟฟ้าและเครื่องกลอีกกว่า 317 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 431 ล้านบาท

สำหรับประมาณการผู้โดยสารนั้น ในข้อเท็จจริงมีการปรับลดลงมากกว่าครึ่ง ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้ คงไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารได้เลย ...คงได้แต่รอลุ้นว่าในเดือน พ.ย. 2564 ที่จะมีการเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์ และเริ่มเก็บค่าโดยสารสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์กลับคืนปกติ รฟท.คาดหวังว่าจะสามารถใช้โปรโมชันการปรับลดอัตราค่าโดยสาร การจัดทำตั๋วเดือน เข้ามาใช้เพื่อจูงใจให้เพิ่มผู้ใช้บริการรถไฟสายสีแดง

หากมีการเปิดประเทศ การเดินทางกลับสู่ปกติ สนามบินดอนเมืองเปิด สายการบินให้บริการนักท่องเที่ยวกลับมา คาดหมายว่าสนามบินดอนเมืองจะป้อนผู้โดยสารเข้าสายสีแดงอย่างน้อย 10,000 คน/วัน ขณะที่ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม ทุบโต๊ะห้ามสีแดงขาดทุน...โจทย์สุดหิน! ที่ รฟท.ต้องหาคำตอบให้เจอ...

https:// m.mgronline.com/business/detail/9640000075315
#2725


สุโขทัย - ใครไปเห็นเป็นต้องทึ่ง..ครูเกษียณ สะสมสารพัดพันธุ์ไม้ผล-ไม้ประดับด่างมา 40 ปี ปลูกไว้เต็มบ้าน ทั้งกล้วย ส้ม ละมุด ฝรั่งด่างทั้งใบและผล มะนาว พริกขี้หนูด่าง ฯลฯ ยันวัชพืชใบด่าง

ขณะที่ "ไม้ด่าง" กำลังอย่ในกระแส-เป็นที่นิยมของผู้คน บางรายมีการซื้อขายกันในราคาสูงถึงหลักแสน-หลักล้าน ล่าสุดครูเกษียณอายุราชการ ได้สะสมพันธุ์ต้นไม้ด่างมานานร่วม 40 ปี มีการเพาะปลูกขยายพันธุ์เก็บไว้สารพัด ทั้งไม้ผล ไม้ประดับ รวมทั้งพืชผักสวนครัว แม้กระทั่งต้นหญ้า และวัชพืชใบด่าง ซึ่งหาชมได้ยาก ก็ยังมีให้เห็นเป็นบุญตาของคนที่ชื่นชอบ

นายจักรกฤษณ์ ทัพบำรุง อายุ 62 ปี อดีตอาจารย์สอนวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย อาศัยอยู่ที่บ้านหมู่ 7 ต.ย่านยาว อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ส่วนตัวชื่นชอบไม้ด่างอยู่แล้ว จึงหาซื้อมาเพาะขยายพันธุ์ สะสมเรื่อยมาตลอด 40 ปี มีทั้งที่กำลังเป็นที่นิยม ราคาหลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน

เช่น กล้วยด่างสายพันธุ์แดงอินโด (อายุ 3 เดือน ต้นละ 50,000 บาท) , กล้วยน้ำว้าพันธุ์ปากช่อง 50 (ต้นละ 350,000 บาท) , กล้วยด่างฟลอริด้า (ต้นละ 85,000 บาท) , กล้วยตานีด่าง (อายุ 3 เดือน ต้นละ 7,000 บาท) , บอนกระดาษด่าง (ต้นละ 10,000-20,000 บาท) , บอนกระดาษดำด่าง (ต้นละ 50,000 บาท) , มอนสเตอร่า อัลโบ้ ฮอลแลนด์ (ต้นละ 12,000 บาท) , ฟิโลเดนดรอน หรือก้ามกุ้งด่าง (ต้นละ 15,000 บาท)

นอกจากนี้ ยังมีต้นจั๋งญี่ปุ่นด่าง ต้นกันเกราด่าง ต้นกลายด่าง ต้นละมุดใบด่างเงิน-ด่างทอง ต้นฝรั่งด่างทั้งใบและผล ต้นมะนาวด่าง ต้นส้มเช้งด่างทั้งใบและผล แล้วก็ใบบัวด่าง ต้นพริกขี้หนูด่าง ต้นต้อยติ่งด่าง หญ้ามาเลเซียด่าง และอีกสารพัดไม้ด่าง แถมมีวัชพืชใบด่างที่กลายพันธุ์เองตามธรรมชาติด้วย

นายจักรกฤษณ์ บอกว่า สำหรับกล้วยด่างราคาแพงที่ปลูกไว้ ไม่ได้มีไว้ขาย แต่จะขยายพันธุ์ไว้แลกเปลี่ยนกัน เพื่อการศึกษาเรียนรู้โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ แบ่งปันกันแบบคนโบราณ เป็นความสุขของคนที่ชอบเลี้ยงต้นไม้แปลกหายาก สามารถโทรสอบถาม คุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ที่เบอร์ 081-9072247

https:// m.mgronline.com/local/detail/9640000075336
#2726


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 30 ก.ค.2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นแอมะซอน.คอม หลังบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายจะชะลอการขยายตัว นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ เป็นปัจจัยถ่วงตลาดลงด้วย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,935.47 จุด ลดลง 149.06 จุด หรือ -0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,395.26 จุด ลดลง 23.89 จุด หรือ -0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,672.68 จุด ลดลง 105.59 จุด หรือ -0.71%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการที่รัฐบาลจีนคุมเข้มด้านกฎระเบียบกับภาคธุรกิจ ซึ่งได้บดบังความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 461.74 จุด ลดลง 2.10 จุด หรือ -0.45%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,612.76 จุด ลดลง 21.01 จุด หรือ -0.32%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,544.39 จุด ลดลง 96.08 จุด หรือ -0.61% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,032.30 จุด ลดลง 46.12 จุด หรือ -0.65%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ร่วงลง ท่ามกลางความวิตกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกอาจกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,032.30 จุด ลดลง 46.12 จุด หรือ -0.65%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันท่ามกลางการเปิดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นก็ตาม

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 73.95 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเพิ่มขึ้น 2.6% ในรอบสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือน ก.ค.

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 76.33 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเพิ่มขึ้น 3% ในรอบสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือน ก.ค.

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาทองคำออกมาเพื่อทำกำไร หลังจากราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 18.6 ดอลลาร์ หรือ 1.01% ปิดที่ 1,817.2 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ปรับตัวขึ้นเกือบ 0.9% ในรอบสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือน ก.ค.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือน ก.ย. ลดลง 23.5 เซนต์ หรือ 0.91% ปิดที่ 25.547 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาแพลทินัมส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 19.2 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 1,048.4 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 13.10 ดอลลาร์ หรือ 0.79% ปิดที่ 2,656.20 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ขณะที่เงินยูโรและปอนด์อ่อนค่าลง

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.33% แตะที่ 92.1701 เมื่อคืนนี้

ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.75 เยน จากระดับ 109.46 เยน, แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9061 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9055 ดอลลาร์ และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.2478 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2439 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1857 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1890 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3891 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3967 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7335 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7400 ดอลลาร์

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 34,935.47 จุด ลดลง 149.06 จุด, -0.42%,

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,395.26 จุด ลดลง 23.89 จุด, -0.54%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,672.68 จุด ลดลง 105.59 จุด, -0.71%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,032.30 จุด ลดลง 46.12 จุด, -0.65%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,612.76 จุด ลดลง 21.01 จุด, -0.32%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,544.39 จุด ลดลง 96.08 จุด, -0.61%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 52,586.84 จุด ลดลง 66.23 จุด, 0.13%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,070.04 จุด ลดลง -50.69 จุด, -0.83%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,494.60 จุด ลดลง 8.33 จุด, -1.21%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,270.23 จุด ลดลง 226.30 จุด, -3.48%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,166.94 จุด ลดลง 13.67 จุด, -0.43%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 25,961.03 จุด ลดลง 354.29 จุด, -1.35%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,397.36 จุด ลดลง 14.37 จุด, -0.42%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,247.41 จุด ลดลง 155.40 จุด, -0.89%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,202.32 จุด ลดลง 40.33 จุด, -1.24%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,283.59 จุด ร่วงลง 498.83 จุด, -1.80%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,392.60 จุด ลดลง 24.80 จุด, -0.33%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,664.20 จุด ลดลง 31.00 จุด,-0.40%
#2727



จากข้อมูลของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พบว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความสนใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในจังหวัดปริมณฑล อาทิ สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และนครปฐม มากขึ้น ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ การทำงานที่บ้าน (Work From Home) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งทำให้ผู้บริโภคหันมามองหาที่อยู่อาศัยแถบชานเมืองและปริมณฑลมากขึ้น เนื่องจากมีความคุ้มค่ามากกว่าเมื่อเปรียบเทียบราคาและขนาดพื้นที่ที่ได้รับ ส่งผลให้ความสนใจซื้อในจังหวัดปริมณฑลเพิ่มขึ้นในหลายทำเล อาทิ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 55% จากไตรมาสก่อน ในส่วนอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพิ่มขึ้น 15% อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มขึ้น 14% และอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เพิ่มขึ้น 13% เป็นต้น

ขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสวนทางคนสนใจซื้อลดลง แม้ว่าจะมีมาตรการช่วยลดค่าโอน-ค่าจดจำนองสำหรับบ้าน-คอนโดฯ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านของภาครัฐ ออกมา ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯหันมาแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้ผู้บริโภคมี 'ตัวเลือก'ที่น่าสนใจและหลากหลายมากขึ้น


โดยล่าสุดพบว่าจำนวนที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นทุกระดับราคา โดยเฉพาะระดับราคา 1-3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 10% จากไตรมาสก่อน ตามมาด้วยระดับราคา 3-5 ล้านบาท, ระดับราคา10-15 ล้านบาท และระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่7% หากพิจารณาจากความสนใจของผู้บริโภคแล้ว แม้ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาทจะได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบไตรมาสด้วยสัดส่วนถึง 24% แต่ความสนใจซื้อในระดับราคานี้ลดลงถึง 6% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปยังคงมาแรง ได้รับความสนใจเพิ่มมากถึง 9% ในรอบไตรมาส ตามมาด้วยระดับราคา 5-10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% และระดับราคา 3-5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคระดับกลาง-ล่าง ยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยแต่"ไม่มี"กำลังซื้อเพียงพอ
#2728


ส.อ.ท.เปิดเผยผลสำรวจปัญหาแรงงานในช่วงวิกฤติโควิด-19 พบแรงงานติดเชื้อในโรงงานผสมกับภาวะการขาดแคลนแรงงานส่งผลให้กำลังการผลิตลดลงและเริ่มกระทบส่งออกไทย วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานม.33 เร่งด่วน ขณะที่การจ้างงาน ลดลง 10 – 20% คิดเป็น 31.3% ส่วนการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็น 4.8 %

       นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 8 ในเดือนกรกฎาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ "การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้ง รักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 166 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า อัตราการจ้างงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้น ส่วนใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถคงอัตราการจ้างงานเท่าเดิม คิดเป็น 53.6% มีการจ้างงานลดลง 10 – 20% คิดเป็น 31.3% มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 10 – 20% คิดเป็น 10.3% และมีการจ้างงานลดลงมากว่า 50% คิดเป็น 4.8 %

ในส่วนของผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนได้รับผลกระทบทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง น้อยกว่า 30% คิดเป็น 45.2% โรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คิดเป็น 26.5% โรงงานที่กำลังการผลิตลดลง 30 – 50% คิดเป็น 20.5% และโรงงานที่กำลังการผลิตลดลงมากกว่า 50% คิดเป็น 7.8% เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ แรงงานบางส่วนต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค หรือกักตัว รวมทั้ง การปิดโรงงานชั่วคราวตามข้อกำหนด คิดเป็น 51.8% รองลงมา สถานประกอบการไม่สามารถหาแรงงานสัญชาติไทยได้เพียงพอต่อความต้องการ คิดเป็น 49.4% และมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกพื้นที่ของแรงงานข้ามจังหวัด คิดเป็น 41.6%

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนเงินอุดหนุนในการจ้างแรงงานไทย และขยายโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ คิดเป็น 50% รองลงมา เป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมทดแทนการใช้แรงงาน คิดเป็น 48.8% และการอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เฉพาะแรงงานที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้ว มีการทำประกันสุขภาพ และต้องผ่านการกักตัว 14 วัน เข้ามาทำงาน คิดเป็น45.8%

กรณีที่ภาครัฐจะมีการเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ควรมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเตรียมความพร้อมระบบคัดกรอง ติดตาม และประเมินสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว คิดเป็น 69.9% รองลงมา การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service สำหรับนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว คิดเป็น 66.9% และการปรับลดขั้นตอน เอกสารที่ไม่จำเป็น และปรับมาดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 65.1 %

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การเร่งจัดหาวัคซีนและเร่งฉีดให้กับแรงงาน ม.33 คิดเป็น 92.8๔ รองลงมา การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลแรงงานที่ติดเชื้อ และสนับสนุนยา อาหาร และเวชภัณฑ์ให้แก่แรงงานที่ติดเชื้อในการรักษาตัวที่บ้าน (Home isolation) คิดเป็น 69.9% และการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือ 1% ถึงสิ้นปี 2564 คิดเป็น 66.9 %

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็น 83.1% รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 68.1% และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (D-M-H-T-T-A) คิดเป็น 65.7%
#2729



ผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 80 เปอร์เซนต์มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการใดๆ โรคนี้กว่าจะแสดงอาการ มักเป็นช่วงที่เชื้อจะอยู่ในตัวเราแล้ว 5-6 วัน จนกระทั้ง 1 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยรับเชื้ออาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ แต่แท้จริงแล้ว หลังจากรับเชื้อประมาณ 5-7 วัน เชื้อจะลงปอดอย่างรวดเร็ว นำพามาสู่ปัญหาปอดติดเชื้อ


ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาการทรงตัวดี แต่อาจแย่ลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่า 3 วันอันตราย ถ้าคนไข้อยู่ในความดูแลของหมอ หมอจะดูในวันที่ 5, 6 และ 7 ว่ามีอาการปอดติดเชื้อหรือไม่

จากคำถามที่ว่าปอดของผู้ติดเชื้อจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความหนักเบา ถ้าพบอาการปอดติดเชื้อเล็กน้อยไม่มีอะไร ตรงนี้สามารถกลับมาเป็นปกติได้ แต่อาจจะใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วแต่ความหนักเบา แต่ถ้าถึงขั้นการหายใจล้มเหลว สภาพปอดถูกทำลายไปเยอะแล้ว ก็อาจกลับมาไม่เป็นปกติ

ใครคือกลุ่มเสี่ยงโควิด-19

กลุ่มเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงที่สุดของการติดเชื้อโควิด-19 อันดับแรก คือ ผู้สูงอายุ ทางการแพทย์นับที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มต่อมาคือผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวาน เพราะผู้ป่วยที่มีโรคโควิด-19 และเบาหวานร่วมด้วยจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าโรคอื่นๆ โรคประจำตัวอื่นๆ ที่น่าเป็นห่วงก็จะพวกโรคเรื้อรัง โรคปอด โรคหัวใจ ไต ตับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงภาวะอ้วนด้วย

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วหายได้เองมีหรือไม่
มีโอกาสที่เป็นไปได้ เพราะจากที่กล่าวข้างต้นว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อมีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการ ถ้าผู้ติดเชื้อไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองมีความเสี่ยงก็อาจจะไม่ได้ไปตรวจ แต่จะกลายเป็นผู้แพร่เชื้อ (Super Spreader) ให้แก่คนอื่นได้

บทความโดย : พญ.พิมฑิราภ์ สุจริตวงศานนท์ ศูนย์ทางการแพทย์ อายุรกรรม โรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์
#2730



เรื่องอาหารการกินคือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ควรมุ่งเน้นกินอาหารที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี แต่หลายครั้งที่คนเรามักจะลืมว่ามีสิ่งที่ไม่ควรกินมากเกินควร เมื่อเร็วๆนี้เว็บไซต์ไทม์ส ออฟ อินเดีย รวบรวมชนิดของกินที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มและแน่นขึ้น

ใครที่ชอบเติมน้ำตาลเพิ่มในอาหารหรือเครื่องดื่ม ต้องจำกัดน้ำตาลให้น้อยลง อาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มการผลิตโปรตีนที่เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ อย่าง C-reactive protein และ interleukin-6 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน น้ำตาลในเลือดสูงก็เป็นอันตรายต่อการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ทำให้เกิดความไม่สมดุล ส่งผลต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในภายหลังและทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อมากขึ้น เครื่องปรุงอีกชนิดคือเกลือ ที่อยู่ในของขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอด ขนมอบ อาหารแช่แข็ง หากมีเกลือในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบ เพราะเกลือสามารถยับยั้งการทำงานปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการตอบสนองต่อการอักเสบ เปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้

อาหารทอดก็ควรพึงระวัง เพราะมีกลุ่มสาร Advanced glycation end products (AGEs) เกิดขึ้นเมื่อน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือไขมันช่วงปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูง AGEs ที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กลไกการต้านอนุมูลอิสระลดลง นอกจากนี้ ก็มีคาเฟอีนหากได้รับมากเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับจนเพิ่มการตอบสนองต่อการอักเสบและทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และท้ายสุดคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากดื่มเกินระดับปานกลาง (ผู้หญิง 1 แก้ว/วัน ผู้ชาย 2 แก้ว/วัน) อาจส่งผลเสียต่อการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและเพิ่มความไวต่อการเจ็บป่วย เช่น โรคปอดบวม และปัญหาระบบทางเดินหายใจ.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2120307
#2732



งานนี้เกิดดราม่าแบบงงๆ สำหรับนักร้องสาวเสียงดีสุดแซ่บ หวาย ปัญธิษา หลังออกมาโพสต์ภาพเก่าซึ่งเป็นภาพโปรโมตจากโปรเจกต์ 2021 ราตรี กับการรวมตัวของ 5 สาวสุดปังแห่งยุคในอินสตาแกรมส่วนตัว

ทั้งนี้ภาพดังกล่าวมี หวาย ปัญธิษา, มิลลิ และ แก้ม วิชญาณี ร่วมเฟรมด้วย แต่งานนี้กลับเกิดดราม่าขึ้นเมื่อแฟนคลับของสาวแก้มเข้าไปคอมเมนต์ถล่มอินสตาแกรมของสาวหวาย หลังมองว่าภาพที่ 2 ของโพสต์นั้นมีการครอปสาวแก้มออกเหลือเพียง หวาย และ มิลลิ จนมองว่าสาวหวายไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เชื่อมโยงไปถึงประเด็นข่าวการเมือง โดย หวาย และ มิลลิ นั้นออกมา Call Out ทำเอาสาวหวายต้องรีบเข้าไปเคลียร์ถามคอมเมนต์ดังกล่าวว่าตัวเองทำอะไรผิด

ล่าสุด สาวหวาย ได้ออกมาชี้แจงผ่านทวิตเตอร์เป็นคลิปที่เผยให้ดูชัด ๆ ว่าไม่มีการครอปรูปสาวแก้มออก แต่เป็นรูปที่คุณแม่ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวถ่ายเก็บไว้ให้และซูมถ่ายไว้แค่ 2 คนเท่านั้น และบอกว่า "สติค่ะ "เป็นแบบนี้นี่เอง" คือแบบไหนคะ ถ้าจะครอปจริงก็คงลงแค่รูปคู่ค่ะ ไม่ใช่คนที่จะมาเก็บ feelings ได้หรือ fake ได้ค่ะ"

เรียกว่างานนี้ทำเอาแฟนคลับของสาวหวายและชาวเน็ตอีกด้านต่างออกมาวิจารณ์กันสนั่นว่าแฟนคลับของสาวแก้มควรออกมาขอโทษที่เข้าไปคอมเมนต์ตำหนิสาวหวายโดยไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

ด้านสาวหวายได้ออกมากล่าวอีกว่า..."รอคำขอโทษอยู่นะคะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่า ร้อน ตัว ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ"
#2733
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#2734



จากการเปิดจุดฉีดวัคซีนให้กับคนพิการกว่า 5,000 คน ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. โดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.)พบว่า ต่างได้รับความชื่นชมจากคนพิการ ผู้สูงอายุ และญาติที่ไปรับวัคซีน ในการบริหารจัดการที่เป็นระบบ รวดเร็ว รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่มาคอยอำนวยความสะดวกที่มีความสุภาพ

ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจคนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันนี้ โดยนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดี พก. ได้นำเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาอำนวยความสะดวก เพื่อให้คนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้รับความดูแลอย่างทั่วถึง

การให้บริการฉีดวัคซีนดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดสรรโควตาวัคซีนโควิด-19 ให้ กรม พก. กระทรวง พม. พร้อมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่จิตอาสาในการให้บริการแก่คนพิการด้วย
 
#2735



"เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไทย ยังคงได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์รถยนต์ดังเป็นอย่างดี ล่าสุดได้รับรถยนต์สำหรับเป็นเพื่อนเดินทางคันใหม่ที่แดนอาทิตย์อุทัยแล้ว

โดย ชนาธิป วัย 27 ปี ดาวดังแห่งสโมสร ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ได้เผยภาพรถยนต์คันใหม่ที่ได้รับจาก Jeep

ทั้งนี้รถยนต์ Jeep Cherokee ที่ได้รับมานั้น ชนาธิป โพสต์พร้อมข้อความว่า "เพื่อนร่วมทางคันใหม่ ขอบคุณมากๆครับผม"

สำหรับก่อนหน้านี้ ชนาธิป ใช้รถยนต์ Jeep Cherokee มาแล้วหลายคัน โดยคันล่าสุดถือเป็นคันที่ 4 ของเจ้าตัวในญี่ปุ่น
#2736



นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจ LINE for Business ปี 2021-2022 เดินหน้าเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตอกย้ำการเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้คนไทย ทั้งการดำเนินชีวิต และการดำเนินธุรกิจ 

พร้อมให้ความรู้พร้อมพัฒนาต่อเนื่องเครื่องมือธุรกิจบนแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นตัวเร่งสำคัญสำหรับการเติบโตและแข่งขันของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนหลังวิกฤติ

โดยเน้นความสำคัญในส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางวิกฤตินี้ LINE พบว่า อัตราการเติบโตของ LINE OA โดยธุรกิจกลุ่มร้านอาหารมีอัตราการเปิดใช้งาน LINE OA เพิ่มขึ้น (YoY) สูงสุดสุงถึง 212% รองลงมาคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกที่ 191% 

ด้วยเหตุนี้ LINE ประเทศไทยจึงมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและเครื่องมือเพื่อขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจไทยเหล่านี้โดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการใช้งาน LINE จากแค่เครื่องมือในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในโลกยุคหลังโควิดต่อไป   

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เผยว่า กลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือ ธุรกิจอาหาร โดยลดลงถึง 37% รองลงมาคือ ธุรกิจขนส่ง และค้าปลีก ในอัตราส่วนที่ลดลง 21% และ 3.7% ตามลำดับ


สำหรับ กลุ่มธุรกิจอาหาร ออกแบบ MyRestuarant เครื่องมือช่วยเสริมประสิทธิภาพ LINE OA สำหรับธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยโดยเฉพาะ ในการจัดการหน้าร้าน ไปถึงการจัดการหลังร้าน การวิเคราะห์ข้อมูลจากอาหารที่สั่ง และ การเชื่อมถึงการจัดส่งกับบริการ LINE Man โดยตรง 

กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ออกแบบ MyShop เครื่องมือที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ LINE OA ด้านการขายของ ที่ใช้งายที่สุดเทียบเคียงกับการใช้ LINE ด้วยระบบหน้าร้านออนไลน์ ระบบจัดการสินค้าคงคลัง รองรับการซื้อสินค้าผ่านการพูดคุย หรือ Chat Commerce แบบเต็มรูปแบบ ระบบการชำระเงินเชื่อมต่อกับ Rabbit LINE Pay ระบบการเชื้อเชิญลูกค้ากับ LINE POINT ระบบการโฆษณากับ LINE ADS PLATFORM ระบบขนส่งสินค้ากับทุกบริษัท 

ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าเปิดใช้งาน MyShop เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า มีร้านค้าที่แอคทีฟเพิ่มขึ้นถึง 257% (เปรียบเทียบการเติบโต YoY เดือนเม.ย. ปี 2563 – 2564) และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GMV) อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท โดยธุรกิจด้านแฟชั่นและเครื่องสำอางค์เป็นกลุ่มสินค้าที่เปิดร้าน MyShop สูงสุด ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจ SME แฟชั่น LINE ยังมีโครงการ LINE FASHION ANNUALE ที่จัดขึ้นในปีนี้ เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทยไปสู่เวทีโลก 

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว กลุ่มองค์กรที่สำคัญที่สุดต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย คือ กลุ่มบริการสาธารณะ ด้วยศักยภาพของแพลตฟอร์ม LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 49 ล้านคน LINE OA จึงกลายเป็นตัวกลางสำคัญสำหรับกลุ่มบริการสาธารณะ และองค์กรภาครัฐมากมาย ในการอัพเดทข้อมูล ให้ความรู้ และให้บริการให้ด้านต่างๆ แก่ประชาชนคนไทย อาทิ โรงพยาบาล สาธารณูปโภค น้ำ ไฟ การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอ ชุมชนต่างๆ รวมถึงหน่วยงานราชการ 


เขากล่าวว่า วิกฤติโควิด 19 ทำให้ภาคธุรกิจปรับตัวมาเป็นดิจิทัลกันแทบทั้งหมด หากแต่ยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก LINE จึงพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกิจของคนไทย เป็นตัวกลางเชื่อมโยงการทำธุรกิจออฟไลน์สู่โลกออนไลน์ ผลักดันให้ทุกองค์กรธุรกิจสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพต่อยอดสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล เพื่อเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจองค์รวมของไทยให้พร้อมในการแข่งขันกับธุรกิจในตลาดโลก บนบริบทใหม่ที่จะมาถึง" 

10 ปีที่ผ่านมา LINE ได้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงคนและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ภายใต้ภารกิจ Closing the distance และพัฒนากลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานการใช้ชีวิตดิจิทัลให้คนไทย เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งได้เห็นการปรับตัวของคนไทยเข้าสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัวผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม LINE เพิ่มมากขึ้นในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ 
 
#2737



"สกาย ไอซีที" จับมือ AppMan เชื่อมโยงเทคโนโลยี Face Recognition กับ Optical Character Recognition ต่อยอดระบบโครงสร้างพื้นฐาน e-KYC ครบวงจรและปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับความต้องการแห่งอนาคต หลังภาครัฐ-เอกชนมุ่งสู่ดิจิทัล ต้องการระบบความปลอดภัยยืนยันตัวตนผ่านออนไลน์ 

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY กล่าวว่า เทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับการเปิดให้บริการบนช่องทางออนไลน์ บริษัทในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย จึงร่วมกับบริษัท แอพแมน จำกัด (AppMan) ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาดเรื่องความแม่นยำในการอ่านอักขระโดยเฉพาะภาษาไทย เชื่อมโยงเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการทำสร้างระบบ e-KYC Solution ครบวงจร พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคต

"เรามีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า หรือ Face Recognition ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากพันธมิตรชั้นนำด้าน AI ของโลกอย่าง SenseTime ขณะเดียวกัน AppMan ก็ถือเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการอ่านอักขระด้วยแสง หรือ Optical Character Recognition เมื่อเราเชื่อมโยงเทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน จะช่วยให้เราสามารถสร้าง e-KYC Solution ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ เทคโนโลยี e-KYC ของทั้ง 2 บริษัทจะช่วยพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งานผ่านการสแกนบัตรประชาชน สแกนเอกสารทางราชการ ตลอดจนสแกนใบหน้าบนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือตัวตน ป้องกันความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เรียกใช้ข้อมูลได้ง่ายจากฐานข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานเมื่อเทียบกับการต้องยืนยันตัวตนแบบต่อหน้า (Face to Face) ขณะเดียวกัน ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ของบริษัทยังมีจุดแตกต่างจากเทคโนโลยี e-KYC ทั่วไปที่มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ค่อนข้างสูง การผนึกกำลังระหว่าง 2 บริษัทจะส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนต่อ Transaction ต่ำลง เพื่อให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ มีความแม่นยำสูง อีกทั้งมีความปลอดภัยมาตรฐาน Banking Grade

ด้านนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด กล่าวว่า เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่มีความเปราะบางสูง บริษัทฯ จึงสร้างความเชื่อมั่นปกป้องข้อมูลความปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบ (Audit) ทุกขั้นตอนมาตรฐานสากลระดับ CSA- Star Level 2 และ ISO/IEC27001 ก่อนนำเสนอสู่ตลาด พร้อมให้บริการบน Cloud อีกทั้งในระดับโลกนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับ e-KYC เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในหลากหลายกลุ่มธุรกิจระยะหนึ่งแล้ว เช่น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ e-KYC เข้ามายืนยันตัวตน ป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน กลุ่มธุรกิจการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีสถาบันการศึกษาดิจิทัล หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้ e-KYC เข้ามาช่วยยืนยันตัวตนผู้เข้าเรียนและผู้เข้าสอบ

"ในไทยเอง e-KYC เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น ในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ มีการปรับตัวให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ Online Video Consultation ต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding และ e-KYC เข้ามาเกี่ยวข้อง ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 บริษัทขยายโอกาสในการบริการกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รองรับทั้งการเติบโตในไทยและระดับโลก" นายธนภูมิ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทั้ง 2 บริษัทจะมุ่งเจาะตลาด มีทั้งกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบเอกสารทางราชการเพื่อความปลอดภัย กลุ่มภาคเอกชนในหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจการศึกษา กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งอาหาร กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

ขณะที่บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีกระบวนการทำงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Working Process (IWP) ดิจิทัลโซลูชันหลากหลายรูปแบบด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี OCR, เอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) ครอบคลุมทุกธุรกิจ เสริมศักยภาพและขยายอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ทุกองค์กรตามมาตรฐานสากล
#2738



เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่มทางเลือกลูกค้า รถอายุ 5 ปีขึ้นไป เปิดตัวอะไหล่ สตาร์พาร์ท (StarParts) รองรับทีั้งกลุ่มรถคอมแพคท์ เอสยูวี โรดสเตอร์ ช่วยลูกค้าประหยัด ดีลเลอร์มีรายได้

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) เปิดตัว สตาร์พาร์ทส์  (StarParts) อะไหล่รถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ได้มาตรฐาน ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น โดยระบุว่าจะช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 55%

ทั้งนี้ อะไหล่ "StarParts" พัฒนาและทดสอบตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ สำหรับการบำรุงรักษาในกลุ่มรถที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป

พุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ แล้ว การบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ยืดอายุการใช้งานเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ StarParts ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวแทนจำหน่าย ในการรักษาลูกค้า และสร้างยอดขาย ด้านอะไหล่และบริการได้อีกด้วย



สำหรับอะไหล่ StarParts ผลิตออกมารองรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นต่างๆ ประกอบด้วย

  • A-Class (169/176)
  • GLA (156)
  • B-Class (245/246)
  • C-Class (203/204)
  • CLK-Class (209)
  • E-Class (211/212)
  • CLS-Class (218/219)
  • ML-Class (164/166)
  • SLK-Class (170/171)
โดยอะไหล่ที่ผลิตออกมาสำหรับ StarParts ประกอบด้วย

  • แบตเตอรี่สตาร์ท
  • ผ้าเบรก/ดิสก์เบรก
  • ไส้กรองอากาศสำหรับเครื่องยนต์
  • ไส้กรองน้ำมันเครื่อง
  • ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ไส้กรองน้ำมันเกียร์
  • ไส้กรองสำหรับห้องโดยสาร
  • หัวเทียน
  • ใบปัดน้ำฝน
#2739



"มาร์ก กูดดิ้ง" ว่าที่เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย ทวีตข้อความในค่ำวานนี้ (28 ก.ค.) @markgooding ระบุว่า  สหราชอาณาจักรประกาศบริจาควัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า 415,000 โดสแก่ประเทศไทย

"วันนี้ สหราชอาณาจักรมีวัคซีนบริจาคให้ประเทศไทย จำนวน 415,000 โดส ผลิตโดสบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าในสหราชอาณาจักร และจัดส่งถึงประเทศไทยในอีก 1 - 2 สัปดาห์ข้างหน้า" ว่าที่ทูตกูดดิ้งกล่าว และระบุว่า ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 สหราชอาณาจักรได้หาทางนำทั่วโลกต่อสู้เพื่อป้องกันโรคร้าย กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่เราได้ให้ทุนสนับสนุนพัฒนาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า - ออกซ์ฟอร์ด โดยยึดหลักต้องแจกจ่ายให้คนทั่วโลกในราคาทุน โดยไม่หาผลกำไร มีเป้าหมายเดียวคือ ขอให้กระจายวัคซีนนี้ไปทั่วโลกอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม 

ว่าที่เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กล่าวอีกว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูง จนถึงวันนี้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 500 ล้านโดสใน 160 ประเทศทั่วโลก และเนื่องจากโครงการวัคซีนโควิด-19 ในสหราอาณาจักรประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะนี้เรามีวัคซีนเพียงพอส่งต่อให้กับประเทศอื่นๆ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร และไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ได้รับวัคซีนเหล่านี้ ในช่วงที่ไทยเผชิญกับการระบาดสาหัสเช่นนี้ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าสหราชอาณาจักรอยู่เคียงข้างประเทศไทยเสมอ


ในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศ มีข้อความระบุว่า ขอขอบคุณในไมตรีจิตของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่ประกาศมอบวัคซีนโควิด-19 จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,000 โดส ให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด สะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร
#2740



เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทโฮลดิ้งคอมพานีในเครือธนาคารไทยพาณิชย์เดินหน้าภารกิจ Moonshot Mission (มูนช็อต มิชชั่น) มุ่งลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ประกาศเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนหลักในการระดมทุนรอบ Series D ของ Fireblocks แพลตฟอร์มผู้ให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการดูแลความปลอดภัยสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนชั้นนำ ได้แก่ Sequoia Capital, Stripes, Spark Capital, Coatue และ DRW โดย SCB 10X นับเป็นบริษัทในเครือธนาคารรายที่ 3 ที่ร่วมลงทุนใน Fireblocks ต่อจาก BNY Mellon และ SVB Capital โดยการระดมทุนในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Fireblocks มีมูลค่าบริษัท (Valuation) พุ่งทะยานสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
การเพิ่มเงินทุนใหม่ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของ Fireblocks ในการเป็นแพลตฟอร์มผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่ช่วยให้องค์กรใหม่ๆ สามารถเข้ามาในสนามของสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยีของ Fireblocks จะช่วยในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ White Label สำหรับลูกค้าสถาบันที่ต้องการให้บริการดูแลและรับฝากสินทรัพย์ประเภทคริปโตเคอร์เรนซี (Crypto Custody) โดยที่ลูกค้าสถาบันสามารถให้บริการดูแลและรับฝากสินทรัพย์แก่ลูกค้าของตนได้โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม

นางมุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า Fireblocks นับเป็นตัวเลือกที่เป็นที่ต้องการขององค์กรชั้นนำมากมาย ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ และองค์กรขนาดเล็ก เนื่องจากแพลตฟอร์มของ Fireblocks จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถนำเสนอโซลูชันการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำหนดเองได้ แทนที่จะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขากำลัง outsource การดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งเป็นความสามารถที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจประเภทนี้

SCB 10X ในฐานะหนึ่งในผู้ลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าของ Fireblocks เรามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า Fireblocks มีความเชี่ยวชาญในระดับโลกในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ยากจะหาใครเทียบได้ในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งในด้านเครือข่ายการถ่ายโอนสินทรัพย์ดิจิทัล (Asset Transfer Network) และโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลและรับฝากสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซี (Crypto Custody Infrastructure) เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงทุนในครั้งนี้ จะนำไปสู่ความร่วมมือในการนำเอาองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญและโซลูชันระดับโลกของ Fireblocks มาใช้ในการพัฒนาและต่อยอดเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับเทรนด์การให้บริการทางการเงินดิจิทัลแห่งโลกอนาคต
 
Fireblocks ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยี MPC สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่น่าเชื่อถือซึ่งเป็นแกนหลักสำคัญของแพลตฟอร์มที่ถูกนำมาใช้กับองค์กรมากกว่า 500 แห่งทั่วโลก และช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยมากกว่า 1 ล้านล้านในสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานของ Fireblocks นับเป็นตัวขับเคลื่อนพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโต และถูกนำมาปรับใช้ทั้งในสถาบันการเงินรูปแบบใหม่และดั้งเดิม ปัจจุบัน Fireblocks ขยายบริการไปทั่วโลก รองรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง นอกเหนือจากการให้บริการแก่ตลาดแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำ  (Crypto-Native Exchanges), Lending Desks, Hedge Funds, OTC Desks และผู้ดูแลสภาพคล่องของตลาด (Market Maker) เช่น Revolut, BlockFi, Celsius, PrimeTrust, Galaxy Digital, Genesis Trading, Crypto.com และ eToro เป็นต้น
 

Fireblocks ก่อตั้งในปี 2562 โดยระดมทุนได้กว่า 489 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก Venture Capital (VCs) ชั้นนำระดับโลกด้านฟินเทค, บล็อกเชน และความปลอดภัยทางไซเบอร์ อาทิ Cyberstarts, Eight Roads, Tenaya Capital, Swisscom, Paradigm, Ribbit Capital และ Coatue
 
มร. ไมเคิล ชอลอฟ (Michael Shaulov) CEO Fireblocks กล่าวว่า เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะสามารถขยายบริษัทและโครงสร้างพื้นฐานผ่านการระดมทุนครั้งใหม่นี้ การเติบโตที่เราเห็นมาจนถึงปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในทุกช่วงของบริษัท ด้วยเทคโนโลยีของเราที่มีความโดดเด่นนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และความสำเร็จของเรานั้นได้ปรากฏอย่างชัดเจน เมื่อมองไปข้างหน้าสู่การเติบโตของอุตสาหกรรม เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจด้านการดูแลความปลอดภัยสินทรัพย์ดิจิทัลมีศักยภาพมหาศาล เราพร้อมจะเติบโตและเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับสถาบันการเงิน และองค์กรอื่นๆ ที่ต้องการจะเข้าสู่แวดวงนี้ได้อย่างปลอดภัยและราบรื่นมากยิ่งขึ้น